กว่าจะมารักกันได้ (45 ตอนจบ) - นิยาย กว่าจะมารักกันได้ (45 ตอนจบ) : Dek-D.com - Writer
×

    กว่าจะมารักกันได้ (45 ตอนจบ)

    การแต่งงานด้วยความรักแต่หากต้องหย่าด้วยความเจ็บปวดเมื่อชายหนุ่มประสบอุบัติเหตุจนสูญเสียความทรงจำในวันที่มีเธอแต่กลับจำคนรักเก่าได้ แล้วปารายาจะทำยังไงเมื่อต้องหย่าทั้งๆที่เธอกำลังตั้งครรภ์

    ผู้เข้าชมรวม

    2,608

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    46

    ผู้เข้าชมรวม


    2.6K

    ความคิดเห็น


    16

    คนติดตาม


    47
    จำนวนตอน :  45 ตอน (จบแล้ว)
    อัปเดตล่าสุด :  2 ต.ค. 67 / 13:22 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ตอนที่1

                   “ขอเก็บอีกหน่อยนะจ๊ะยาย” 

    ปารายาหญิงสาววัยยี่สิบหกที่กำลังช่วยตากับยายดูแลสวนผัก มือเรียวบางที่ค่อยๆตัดแต่งใบที่โคลนต้นเพื่อไม่ให้ใบเยอะจนเป็นแหล่งสะสมของตัวเพลี้ยและหนอนกินใบแถมยังให้ลูกของมะเขือโตมีน้ำหนักได้ราคาดีอีกด้วย   ท่าทางคล่องแคล่วแม้จะห่างหายไปนานกับการทำสวนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความชำนาญลดน้อยลงไปเลย 

    ยายหันมายิ้มให้และก้มหน้าก้มตารวบรวมผักที่เก็บตามออเดอร์ของลุงสมที่สั่งมา

                     สวนยายจันทร์ที่คนในละแวกนี้เขาเรียกกัน   มีเนื้อที่ประมาณยี่สิบไร่เห็นจะได้ติดกับตีนเขามีลำธารขนาดเล็กไหลลงจากเขาตัดผ่านสวนของตากับยาย และผ่านไปยังไร่ข้างๆที่มีเนื้อที่กว้างขวางยาวสุดลูกหูลูกตา  หากแต่บางช่วงมีหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นรกเหมือนที่ทิ้งร้างแทบจะมองอะไรไม่ค่อยเห็นเท่าไร                  

                    ปารายาเป็นหลานสาวคนเดียวของตากับยาย     นับตั้งแต่พ่อกับแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ทำให้ปารายาต้องมาอยู่ในความดูแลของตาและยายด้วยวัยเพียงสิบขวบเท่านั้น    อาชีพหลักของบ้านคือทำสวนปลูกผักขายตาและยายมีรายได้จากสวนส่งเสียให้เธอเรียนจนจบปริญญาตรี  และปารายาก็ได้เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งด้านการตลาด  หากมีโอกาสได้หยุดหลายวันเธอก็จะกลับมาเยี่ยมตากับยายตลอดเหมือนเช่นวันสุดสัปดาห์นี้

                   “เก็บอีกหน่อยก็พอแล้วล่ะลูก ฟ้าจะมืดแล้วเดี๋ยวไม่สบายเอานะ”

                    เสียงของยายตะโกนแว่วมาก่อนจะเอามือรวบผักที่แยกไว้ใส่ตะกร้าใบเล็กเดินตรงไปยังบ้านทิ้งให้หลานสาวได้เชยชมไม้ดอกที่เธอตั้งใจปลูกจนออกดอกสวยสะพรั่งไปทั้งสวน

    “จ้ายายเดี๋ยวปายกผักที่เหลือไปเองค่ะ” หญิงสาวเอามือป้องปากส่งเสียงไปหายายเช่นกัน 

                 “ สดชื่นจัง!  อากาศดี๊ดี”         

     หญิงสาวกางแขนจนสุดตัวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ  เพื่อกักเก็บเอาอากาศบริสุทธิ์ที่หาไม่ได้เลยในเมืองหลวง  ธรรมชาติที่ช่วยบำบัดจิตใจและร่างกายจนเธอหายเศร้าจากเรื่องที่โหดร้ายในอดีตได้จนหมด

                      ร่างบางปล่อยตัวให้พลิ้วไหวไปกับแรงลมและธรรมชาติดอกไม้หลายสายพันธุ์ที่แข่งกันโชยกลิ่นหอมจนทั่วบริเวณสวน ยิ่งอากาศเริ่มเย็นดอกไม้บางชนิดก็รีบส่งกลิ่นมาดึงดูดให้ได้เชยชมความหอมนั้น  แสงสีทองสาดส่องรำไรกระทบใบหน้าขาวนวลขนตาที่แผ่ยาวงอนค่อยๆขยับเมื่อมีแสงทอดส่องกระทบ   คิ้วได้รูปค่อยๆเลิกสูงโก่งขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเวลาความสุขมันกำลังจะผ่านไป

                       หญิงสาวกลับมาเยี่ยมตากับยายทุกครั้งก็จะมาปลูกและชื่นชมเจ้าดอกไม้พวกนี้เสมอ     แต่ละสายพันธุ์มีความงดงามของดอกที่หลากสีสวยงามสะพรั่งไปทั่วสวน มีทั้งดอกทานตะวัน  ดอกกุหลาบ  ดอกมะลิ  ดอกชบาหลากสี  ดอกดาวกระจายที่ออกดอกสวยงามหลากสีสันและอีกหลายสายพันธุ์ที่หญิงสาวนำมาปลูกเรื่อยๆ  มีผีเสื้อสีสวยบินไปมาทั่วสวนทำให้บรรยากาศที่มีแสงแดดสาดส่องก่อนพระอาทิตย์จะลาขอบฟ้าดูอบอุ่นและอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมละมุน

                     “เมื่อไหร่จะได้กลับมาอีกก็ไม่รู้ไปคราวนี้คงอีกนานค่ะยาย ตา “  เมื่อหญิงสาวกลับขึ้นมาพร้อมตะกร้าผักใบโตที่ต้องใช้รถเข็นช่วยทุ่นแรงเพื่อเอาขึ้นมาจากสวน

                      “กลับมาแล้วเหรอลูก”  

                      “จ้ะตา” เธอวางตะกร้าผักที่คัดแยกชนิดแล้วไว้ที่โต๊ะหน้าบ้าน

                      “ว่างเมื่อไหร่ก็มาบ้านเราอยู่ใกล้กรุงเทพไม่กี่ชั่วโมงเอง”  ตาเองก็ยังไม่อยากให้หลานกลับไปเช่นกันแต่จะทำยังไงได้ด้วยภาระหน้าที่และอนาคตของหลานสาวเอง

                     “ปาไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะลูก เดี๋ยวเรามาทานข้าวกันวันนี้มีน้ำพริกปลาทูกับผักสดๆทที่ปาชอบด้วยนะลูก” ยายพูดไล่หลังเมื่อหญิงสาวกำลังเดินเข้าห้องของเธอไป

                     “จ้ายาย ปาจะกินให้อร่อยไปเลยจ้า” 

    สิ้นเสียงร่างบางก็เดินหายเข้าห้องไป    และไม่นานทุกคนในบ้านก็มานั่งทานข้าวอย่างพร้อมหน้า   ความอบอุ่นในครอบครัวเล็กๆ ที่ตาและยายทุ่มเทความรักให้กับหลานสาวคนเดียวที่อยู่ในความโศกเศร้าหลายปีเมื่อต้องเสียพ่อและแม่ไป

     

                     อำเภอมวกเหล็กจังหวัดสระบุรี  จะว่าไปก็ใช้เวลาเดินทางไม่นานปารายาเลือกเดินทางกลับโดยใช้รถทัวร์ประจำทางเข้ากรุงเทพเหมือนที่เป็นมา  

                     “ครั้งนี้น่าจะเป็นปีเลยนะคะที่ปาจะได้กลับมาหาตากับยายอีก”

    หญิงสาวพูดไปพลางเดินหิ้วกระเป๋าใบขนาดกลางไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งประจำทาง

                     “สวัสดีจ้ะยาย ตา ปาคงคิดถึงตากับยายมากๆแน่ๆเลย”

                     “ตากับยายก็คิดถึงปาเหมือนกันจ้ะลูก”   ยายเอามือลูบหัวหลานสาวก่อนจะโอบกอดด้วยความเป็นห่วง

    เมื่อรำลากันให้หายคิดถึงก็ได้เวลารถทัวร์ขนาดยี่สิบสี่ที่นั่งเคลื่อนออกจากชานชาลา  ตาและยายยืนโบกมือลาจนรถทัวร์คันใหญ่เคลื่อนไปลับสุดสายตา

                      “เฮ้อ..”  เสียงถอนหายใจยาวของผู้เป็นยายเมื่อรถลับสายตาไปแล้ว

                      “สงสารยัยปานะตา   นี่ถ้าพ่อแม่ยังอยู่คงจะมีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตามากกว่านี้คงไม่ต้องไปทำงานกันไกลถึงที่กรุงเทพโน่นหรอกนะ   เราเองก็คงจะมีกำลังส่งหลานได้ไม่มาก เราเองก็ต้องดูแลตัวเองให้แข็งแรงจะได้ไม่เจ็บป่วยให้เป็นภาระหลานก็คงจะช่วยได้เท่านี้แหละหนาตา”

    ยายที่ยังทอดสายตาด้วยความกังวลมองดูถนนที่ว่างเปล่า

                       “ไม่เป็นไรหรอกยายปาเค้าเป็นคนเข้มแข็งยังไงแล้วหลานก็เอาตัวรอดได้ ตาเชื่ออย่างนั้นนะ”    ตาบัวปลอบยายจันทร์ก่อนจะพายายขึ้นรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่กลับไร่ไป

     

                        ความวุ่นวายของผู้คนหลากหลายอาชีพที่สถานีรถไฟฟ้าย่านเศรษฐกิจ ซึ่งปารายาไม่สามารถหลีกหนีความวุ่นวายแบบนี้ได้เช่นเคย   เธอพยายามเดินเบียดเสียดกับผู้คนที่ต่างก็รีบร้อนในช่วงเช้าของวันแรกในสัปดาห์   ปารายาทำงานทางด้านการตลาดกับบริษัทที่ผลิตอาหารแปรรูปซึ่งมีจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและส่งออกอีกหลายประเทศ    เธอเป็นผู้ช่วยของกิ่งแก้ว ผู้จัดการด้านการตลาดกับเงินเดือนพนักงานระดับต้นตามวุฒิปริญญาตรีที่เธอจบมา    ประสบการณ์การทำงานและความขยันทำให้เธอได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้ช่วยด้วยระยะเวลาแค่หนึ่งปี

                        “สวัสดีค่ะพี่แก้ว”

    ปารายาทักทายด้วยการยกมือไหว้กิ่งแก้วซึ่งเป็นหัวหน้างานโดยตรงของหญิงสาว

                        “สวัสดีจ้ะ เป็นยังไงบ้างกลับบ้านคราวนี้ได้พักเต็มที่พร้อมกลับมาลุยงานต่อแล้วใช่ไหมปา”     

                        “ได้ออกซิเจนเต็มปอดเลยแหละค่ะพี่แก้ว พร้อมสู้เต็มที่ค่ะ “

    ปารายาเป็นคนทำงานที่ได้ถูกใจกิ่งแก้วมาก เรียกว่าเป็นมือขวาของกิ่งแก้วเลย 

                        “เดือนหน้านี้มีงานสัมมนากระชับมิตรของบริษัทเราด้วยนะ    เป็นงานภายในไปแค่บริษัทเราจ้ะ  พี่ว่าจะให้ปากับต้นไปด้วย” 

    กิ่งแก้วพูดแล้วอมยิ้มกรอกตาไปมาระหว่างปากับต้น    เดือนหน้าที่ว่าซึ่งก็เหลือแค่อาทิตย์กว่าๆ เท่านั้น

                        “ได้เลยค่ะพี่แก้วปาไม่มีปัญหาค่ะ”

    ปารายาเป็นเด็กว่าง่ายให้ทำงานช่วยงานอะไรได้หมด  ไม่เคยเกี่ยงงานเลยแม้แต่บางครั้งที่เป็นวันหยุดเธอก็มาทำงานหากเป็นงานที่เร่งรีบ   ปารายาจึงเป็นที่ถูกใจของกิ่งแก้วอย่างมาก  ซึ่งกิ่งแก้วเองก็เอ็นดูปารายามากเช่นกัน

                         “ผมก็ไม่มีปัญหาครับ ไปได้ครับ”  ต้นกล่าวทิ้งท้ายเช่นกัน

                          หลังจากพักทานอาหารกลางวันเสร็จเวลายังพอเหลืออีกหน่อย  ปารายาอาสาจะไปซื้อกาแฟด้านหน้าตึกซึ่งเป็นร้านโปรดที่ทุกคนชอบ

                          “พี่ขอชาเย็นจ้ะ” กิ่งแก้วยิ้มกว้างให้กับคนอาสา

                          “พี่ด้วย” พี่วรรณเพื่อนร่วมงานในแผนกอีกคนที่ชอบชาเย็นเป็นชีวิตจิตใจ

                          “ผมไปเป็นเพื่อนมั้ยปา ผมอยากได้กาแฟดำอยู่เหมือนกัน” 

    ต้นจะไปด้วยแต่ยังไม่ทันจะได้ไปปารายาก็รีบอาสาทันที  

                          “ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวปาซื้อมาให้เองค่ะต้น ไม่กี่แก้วเองถือได้ค่ะ”

    ปารายาพูดพร้อมกับรีบหยิบกระเป๋าเงินแล้วเดินออกจากโต๊ะอย่างเร็ว  เพราะกลัวจะหมดเวลาพักซะก่อน

     

                            รถยนต์คันหรูที่เลื่อนเข้ามาจอดหน้าประตูทางเข้าบริษัท   บุรุษร่างสูงราวๆหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรไหล่กว้างดูภูมิฐาน   รัศมีที่เป่งออกมาบ่งบอกถึงคนที่มีอำนาจสีหน้าและนัยน์ตาคมนั้นแฝงไปด้วยความเย็นชาถึงแม้เขาจะมีใบหน้าที่ดูโดดเด่นหล่อเหลา   แต่ในเวลานี้กลับไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าหันไปสบตาแม้แต่คนเดียว   ขาที่แข็งแรงกำลังก้าวยาวๆ เดินคิ้วขมวดด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าวินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

                            ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังลิฟต์ผู้บริหาร   ประจวบเหมาะกับประตูลิฟต์ฝั่งตรงข้ามเปิดรอรับผู้โดยสาร   ปารายาที่ยืนอยู่ในลิฟต์พร้อมกับสองมือที่ถือถุงพะรุงพะรังมองออกมานอกประตูลิฟต์สายตาของทั้งคู่ปะทะกันอย่างบังเอิญในระยะแค่สี่เมตร    ดวงตากลมโตแววตาใสเป็นประกายคู่นั้นกำลังมองมาที่เขา   ชายหนุ่มหยุดคิดถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังกังวลโดยอัตโนมัติ  สายตาที่คมเข้มเย็นชามีแววขึ้นเล็กน้อยเมื่อปะทะกับสายตาคู่สวยนั้น   ในหัวเกิดคำถามในใจลึกๆแค่ไม่กี่วินาทีที่ได้สบตาคู่นั้นหัวใจที่แห้งแล้งกระตุกวาบขึ้นมาเมื่อมีสิ่งมากระทบก่อนที่ความคิดนั้นจะเตลิดไปไกล

                           “ชั้นไหนครับคุณรพี” 

    สิ้นเสียงผู้ช่วยวัยกลางคนประตูลิฟต์ก็ปิดสนิททันที     รพีกระพริบตาถี่ๆสองสามทีเพื่อขับไล่ความคิดออกไป และกลับเข้าสู่ความกังวลเช่นเคย 

                            “ชั้นเจ็ด ครับคุณประพันธ์     

                            ประพันธ์เป็นผู้ช่วยรพีมาตั้งแต่เขาเริ่มเข้าสู่การได้รับตำแหน่งประธานบริษัทรุ่นที่สองประพันธ์เป็นผู้ช่วยที่เข้าใจผู้ที่มีตำแหน่งเป็นนายอย่างดีแม้รพีจะมีอายุน้อยกว่าเขา  ด้วยรพีก็ให้เกียรติในการทำงานเสมอ  รพีเป็นคนที่ทำงานเก่งรอบคอบ  รู้เท่าทันในเรื่องของธุรกิจซึ่งบริษัทที่เขาดูนอกจากจะเป็นที่นี่ก็ยังมีสาขาที่ต่างประเทศและต่างจังหวัดอีก   สองปีแรกที่รพีเข้ามาบริหารก็ทำให้บริษัทมีผลประกอบการมากขึ้นและขยายฐานการจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีก   จึงเป็นที่ได้รับความไว้วางใจจากคุณปราบผู้เป็นคนก่อตั้งบริษัทประการเกียรติขึ้นมาและเป็นคุณปู่แท้ๆของรพี    การบริหารงานของรพีเป็นที่พอใจมากคุณปราบจึงค่อยๆวางมือจากธุรกิจเพื่อพักผ่อนในวัยเกษียน    แต่สิ่งที่คุณปราบกำลังคาดหวังจากหลานชายคนนี้นั่นก็คืออยากให้รพีเริ่มต้นใหม่กับชีวิตรักอีกครั้ง

                             “เชิญครับ”

    ประพันธ์กล่าวกับรพีเมื่อลิฟต์เปิดถึงชั้นเจ็ดแล้ว    ทั้งคู่ได้เจอกับคุณอดิศรรองประธานและคุณพัชรินผู้ช่วย    หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้วทุกคนก็ตรงไปที่ห้องประชุมใหญ่ทันที  บรรยากาศอึมครึมภายในห้องบ่งบอกถึงเรื่องที่ประชุมในวันนี้คงเป็นปัญหาที่จะต้องคลี่คลายกันโดยเร็ว   เมื่อสินค้าที่ถูกส่งไปโดนตีกลับมาด้วยการบรรจุที่มีปัญหารพีจึงปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆไม่ได้เขาจึงต้องมาจัดการด้วยตัวเอง     เมื่อผ่านไปสามชั่วโมงปัญหาก็คลี่คลายลงด้วยดีการเจรจากับทางคู่ค้าเป็นไปในทางที่ดี

     

                          รพีก็กลับออกจากบริษัทและตรงเข้าบ้านทันทีเมื่อเสร็จจากการประชุม   บ้านประการเกียรติเป็นบ้านที่กรุงเทพย่านบางนาที่ไม่ไกลจากที่ทำงานของบริษัทมากนัก   เขาชอบใช้เวลาตรงบริเวณริมสระว่ายน้ำนานๆ ร่างสูงที่อยู่ในชุดวอร์มซึ่งพึ่งผ่านการออกกำลังกายมาหมาดๆ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันและสายตาที่ทอดยาวออกไปเหมือนชายหนุ่มไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว   จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น   มือใหญ่เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์สมาร์โฟน หลังจากได้ยินเสียงก่อนที่จะสลัดความคิดทั้งหมดออกไป 

                           “ฮัลโหล! ลูกเดี๋ยวแม่จะกลับไปถึงพรุ่งนี้นะ   ลูกจะเอาอะไรมั้ย แม่จะได้แวะให้”

                            เสียงจากปลายสายของผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังจะกลับจากการเที่ยวต่างประเทศ  แต่ก็ไม่ลืมที่จะโทรหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวน   คุณผ่องเพชรแม่แท้ๆ ของรพีและยังมีพี่สาวร่วมแม่เดียวกันอีกหนึ่งคน  รพรรณเป็นพี่สาวของรพีที่ตอนนี้แต่งงานและย้ายไปอยู่บ้านสามีคอยเป็นแม่บ้านให้กับสามีและดูแลลูกๆ ทั้งสองซึ่งเป็นครอบครัวที่อบอุ่นน่ารัก

                           “ไม่ครับคุณแม่ เดินทางปลอดภัยนะครับ”

    คำตอบสั้นๆ เช่นเคยที่เธอได้จากลูกชาย

                           ครอบครัวของรพีเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่มีคุณแม่ พี่สาว และคุณปู่  เป็นครอบครัวที่อบอุ่นแม้มีกันไม่เยอะทุกคนในบ้านใช้หลักของความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน   หากไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับชายหนุ่มในวันนั้น  เวลานี้เขาคงมีความสุขมากทีเดียว    ผ่านมาห้าปีแล้ว ความเย็นชาและนัยน์ตาที่ว่างเปล่ายังไม่มีวี่แววที่จะดีขึ้น   เขาต้องใช้เวลาในการเยียวยาจิตใจอีกนานแค่ไหนไม่มีใครทราบได้เลย  เมื่อความเจ็บปวดจากการถูกหักหลังของแฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย   

                             สุรีนันท์แอบไปมีความสัมพันธ์กับอีกคนที่ใกล้ชิด   การอดทนรอคนรักซึ่งอยู่ห่างกันคนละฝากโลก   จิตใจที่เคยมั่นคงก็กลับสั่นคลอนที่ละนิดจนไม่สามารถจะรักษาสัญญากับชายหนุ่มไว้ได้   จะโทษเธอซะทีเดียวก็คงจะไม่ได้เมื่อการรอคอยที่เนิ่นนาน  เมื่อมีคนที่มาใส่ในยามเหงาและความใกล้ชิดก็ทำให้ใจที่เคยมั่นคงย่อมแปรเปลี่ยนสถานะไปได้ 

                               ซึ่งต่างจากชายหนุ่มที่มุ่งมั่นกับการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่วอกแวกกับสิ่งยั่วเย้าภายนอก     แต่เมื่อชายหนุ่มรู้ข่าวว่าสุรีนันท์กำลังหมั้นหมายกับชายอื่น    ข่าวนั้นทำให้รพีเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างจังจนทำให้เขากลายเป็นคนเงียบขรึมและเก็บตัวไม่ออกไปสังสรรค์ที่ไหนอีกเลย         

                              “แม่อยากให้ลูกมีความสุข อยากให้ลูกเปิดใจอีกครั้งเรื่องที่มันผ่านมาแล้วตั้งห้าปีก็ลืมมันไปเถอะ ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีความสุขเถอะนะลูก”

                               เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ที่อยากให้ลูกชายได้มีความสุขในชีวิต   และมีคู่ชีวิตที่จะดูแลกันและกันไปตลอด    ความห่วงใยของคนเป็นแม่ก็คงมีแค่เท่านี้คุณผ่องเพชรไม่ได้หวังว่าคนที่จะมาเป็นสะใภ้จะต้องมีคุณสมบัติยังไงเธอเพียงต้องการคนที่รักลูกชายเธอจริงๆ และลูกชายเธออยู่ด้วยแล้วมีความสุขเท่านั้นพอ    หญิงสูงวัยที่มีดวงตาอ่อนโยนดูใจดี  เธอเคยอยู่ในช่วงเวลาที่ลูกชายมีความทุกข์จากเรื่องชีวิตคู่  เธอแนะนำผู้หญิงให้ลูกชายอยู่บ้าง    แต่จนแล้วจนรอดรพีก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลย

                              ด้วยเหตุนี้การพัฒนาไร่ภูตะวันจึงเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะกลับจากต่างประเทศ  ชายหนุ่มต้องการใช้ชีวิตที่ไร่ภูตะวัน  ความรู้สึกที่ต้องการหลีกหนีความรวดร้าว ความเศร้า ความเหงาจนกลายเป็นคนเก็บตัวในที่สุด   หากมีเวลาสุดสัปดาห์ชายหนุ่มจะไปที่ไร่ภูตะวันที่ๆ เขาใช้พักใจพักกายนั่นเอง 

     

                                เสียงบีบแตรและเสียงดังของรถที่วุ่นวายบนท้องถนนเหมือนนาฬิกาบอกถึงช่วงเช้าวันใหม่ของคนเมืองกรุง  ปารายามาทำงานแต่เช้าเธอลงบันไดจากสถานีรถไฟฟ้าก็เดินมุ่งตรงเข้าสู่ตัวตึกที่ตั้งอยู่ระยะไม่กี่สิบเมตรห่างจากถนนใหญ่ 

                                “เดี๋ยววันนี้พี่แก้วมีประชุมนะคะ   น้องปาช่วยเตรียมเอกสารให้หน่อย”

     กิ่งแก้วพูดพลางมือของเธอก็ควักไขว่กับเอกสารตรงหน้านั้น

                               “ปาๆ แล้วเสร็จแล้วเอาเอกสารตามพี่ไปที่ห้องประชุมเลยนะ  พี่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว  กลัวระเบิดจะลงซะก่อนจ้า” 

     กิ่งแก้วเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังลิฟต์ทันทีเมื่อพูดจบ

                                “ได้เลยจ้าพี่แก้ว”

    ปารายาพูดไล่หลังกิ่งแก้วผู้เป็นหัวหน้า  หญิงสาวอมยิ้มกับคำพูดติดตลกของกิ่งแก้ว  และให้หลังสิบห้านาทีร่างบางที่กำลังหมุนตัวไปมากับเอกสารตรงหน้าก็รีบวิ่งหอบเอกสารตามไปอีกคน

                               “ได้แล้วค่ะพี่แก้วเรียบร้อยนะคะ  พี่แก้วเพิ่มเติมอะไรส่งไลน์มาหาปาได้เลยนะคะ”

    ปารายาไม่รอฟังอีกฝ่ายร่างบางก็หมุนตัวกลับออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

                               “อุ๊ย!”  เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความตกใจ

                               “ขอโทษค่ะ”

     เธอเซจนเกือบล้มเพราะเจ้ารองเท้าส้นสูงระดับสามนิ้วที่เธอสวมใส่อยู่นั้นไม่มั่นคงพอที่จะรับน้ำหนักให้เธอยืนตรงอยู่ได้  เมื่อเจอแรงกระแทกเข้าอย่างจังร่างบางที่เกือบจะล้มกลับมีมือที่แข็งแรงช้อนรับเอาไว้ได้

    สองมือเล็กของเธอเกี่ยวเกาะที่แขนเขาโดยอัตโนมัติ  ทำให้ปารายามีหลักยึดเกาะพอที่จะยืนทรงตัวได้

                                  “ขอบคุณมากนะคะ”

    ใบหน้าที่กังวลและแววตาที่เธอจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกผิดนั้น  มันส่งผลกระทบให้แววตาคมวูบไหวไปชั่วครู่  กลิ่นที่เขาไม่คุ้นเคยโชยเข้าจมูกเมื่อหญิงสาวอยู่ใกล้เพียงแค่คืบ หัวใจที่แห้งแล้งกลับสั่นไหวขึ้นมาราวกับว่าเขาถูกสะกดให้นิ่งอยู่ตรงนั้น    หน้านวลใสที่กำลังค่อยๆ เงยขึ้นมองเขาอย่างช้าๆ กล้าๆ กลัวๆ หากเพราะสายตาของเธอเหลือบไปเห็นสูทราคาแพงที่มือของเธอเกาะเกี่ยวอยู่นั้น  ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าบุรุษตรงหน้าที่พยุงเธออยู่มีตำแหน่งที่ไม่เบาเลย              ปารายาเอ๊ย!

                                ชั่วขณะไม่กี่วินาทีมันทำให้หัวใจและความคิดของทั้งคู่เตลิดไปไกลพอควร    ชายหนุ่มและสายตาที่มีแววหวั่นไหว  หัวใจที่ค่อยๆเต้นแรงขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุหลังจากที่มันสงบนิ่งมานาน

    ภาพดวงตาคู่สวยของหญิงสาวในลิฟต์เมื่อวันก่อนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสบตาคู่สวยนี้

                                    “คราวหลังเดินให้ระวังกว่านี้นะครับ”

    ก่อนที่เขาจะละมือออกจากเอวบาง  และเบนสายตามองไปที่มือของหญิงสาว

                                   “ค่ะ ขอบคุณนะคะ และดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่เดินไม่ระวัง”

     

    พูดจบก็รีบดึงสองมือที่เกาะแขนอยู่เพื่อทรงตัวออก     และยืนตรงโค้งหัวเล็กน้อยให้อีกฝ่าย

    ที่กำลังเดินเข้าประตูห้องประชุมไปโดยไม่หันกลับมามอง

                                “เฮ้อ!... หวังว่าคงไม่ใช่ผู้มีอำนาจเถอะ”

                                เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของปารายาก็หลุดออกมาพร้อมกับรับเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานโดยไม่มีความคิดใดๆกับสถานการณ์เมื่อครู่นี้   ด้วยภาระงานเอกสารที่กองอยู่เต็มโต๊ะทำให้เธอไม่มีเวลาว่างพอที่จะได้คิดถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นต่อให้ผู้ชายทรงสมาร์ทดังกล่าวเป็นใครก็ตาม

                 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น